MACAU DAY1 : เปิดทริปตะลอนมาเก๊าวันแรก และครั้งแรก ภาษาอังกฤษง่อย งบน้อยก็เที่ยวได้ เที่ยวมาเก๊าฉบับชิลด้วยตัวเอง ใครก็ไปได้ หากใครสนใจไปเที่ยวแบบบวมๆ ด้วยกันก็ตามมาได้เลย

MACAU DAY1 : เปิดทริปตะลอนมาเก๊าวันแรก และครั้งแรก ภาษาอังกฤษง่อย งบน้อยก็เที่ยวได้ เที่ยวมาเก๊าฉบับชิลด้วยตัวเอง ใครก็ไปได้ หากใครสนใจไปเที่ยวแบบบวมๆ ด้วยกันก็ตามมาได้เลย

Highlight of our trip in MACAU day 1
– SENADO SQUARE : ช้อป ชิม ชิล ไหว้พระ ชมโบสถ์โบราณ ณ ถนนคนเดินอันเลื่องชื่อของมาเก๊า เซนาโด สแควร์
– TAIPA VILLAGE : ตะลุยย่านสตรีทฟู้ดมาเก๊า ชิมทาร์ตไข่เจ้าดัง ที่ฝั่งไทปา
– DINNER : มื้อค่ำสุดพิเศษที่ห้องอาหารญี่ปุ่น MIZUMI โรงแรมวินน์ พาเลซ Wynn Palace Cotai
– เปิดห้องนอนสุดหรู กับบริการสุดเริ่ดที่ Wynn Palace มาเก๊า
หมายเหตุ : มาเก๊าใช้เงินสกุล MOP และสามารถใช้เงินฮ่องกงซื้อของได้ ค่าเงิน 1 MOP เทียบกับเงินไทยตกประมาณ 4 บาท (ช่วงที่ไปแลกได้ 3.94 ก็ตีไปเป็น 4 กลมๆ คิดง่ายๆ เลยแล้วกันนะคะ)
การเดินทาง : รถเมล์, รถฟรี (Shuttle Bus โรงแรมต่างๆ)

มาบอกเล่าที่มาที่ไปของทริปมาเก๊าในครั้งนี้ซะหน่อย เรียกได้ว่าเป็นการออกไปเปิดประสบการณ์เที่ยวต่างแดนด้วยตัวเองแบบเต็มๆ ทริปครั้งแรกเลยก็ว่าได้ สำหรับจุดเริ่มต้นของทริปนี้เกิดขึ้นเมื่อวันหนึ่ง หมีได้รับเทียบเชิญให้ไปร่วมงานประกาศรางวัลร้านอาหารระดับเอเชีย Asia’s 50 Best Restaurants 2018 ที่มาเก๊า โดยทางทีมงานมีที่พัก และอาหารมื้อที่ทานในโรงแรมให้ แต่ต้องเดินทางไปเอง
ด้วยความที่ก็อยากไปเที่ยวอยู่แล้ว มีแพลนจะไปเที่ยวตปท.กะเค้าบ้างอยู่พอดี ก็เลยตัดสินใจไม่นาน สะกิดคนข้างๆ ซื้อตั๋วไปมาเก๊ากันค่ะเจ๊ เมื่อไม่มีใครห้ามใครก็เลยถอยตั๋วหางแดง Air Asia ที่ไม่ได้อยู่ในช่วงโปรโมชั่นมากันคนละใบ กับไฟลท์บินเช้าตรู่เพราะถูกสุด ฮ่าา จริงๆ เล็งแอร์มาเก๊าไว้เหมือนกัน เพราะเป็น Full Service ราคารวมไป-กลับ เทียบกับแอร์เอเชียที่ไม่ได้ Full ก็ไม่ได้ต่างกันนัก แต่แอร์มาเก๊ามีไฟลท์ให้เลือกน้อย เลยมาลงเอยที่หางแดงเจ้านี้แทน โดยรวมค่าใช้จ่ายไป-กลับ รวมค่าน้ำหนักกระเป๋า ประกัน(ซื้อแยก) ก็ตกที่ประมาณ 7 พันกว่าบาท แต่ถ้าได้ตั๋วโปรส่วนใหญ่ตกที่ 3 – 4 พันเท่านั้นเอง ใครจะไปก็รอโปรดีกว่ามีมาเรื่อยๆ พอคิดรวมค่าที่พักถ้าไม่ได้พักราคาแพงมาก ค่าใช้จ่ายเราก็คงพอๆ กัน แต่อันนี้ตัวงานกำหนดวันจัดไว้แล้วเราเลยรอราคาโปรไม่ได้ ก็ยอมแพงหน่อยแต่ที่พักฟรีไปละกัน สวยๆ

เวลามาเก๊าไวกว่าไทย 1 ชั่วโมง มาถึงนี่ก็เป็นเวลา 10.40 น. (มาเก๊า) ออกจากสนามบินก็มองหารถ Shuttle Bus ของโรงแรมซึ่งให้บริการฟรี แล้วนั่งมายัง Wynn Palace (วินน์พาเลซ) โรงแรมที่เราจะเข้าพักกันคืนนี้ได้เลย โรงแรมอยู่ใกล้สนามบิน นั่งไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว โรงแรมใหญ่มาก เดินๆ ไปก็หลงตลอด 555
เนื่องจากเรามาถึงเร็วไปหน่อย โรงแรมเปิดให้เช็คอินได้ตอนบ่าย 3 เราก็เลยเอากระเป๋าไปฝากไว้ก่อน ก่อนมาห่วงแค่อากาศจะร้อน หรือหนาว ไม่ได้คิดถึงฝนเลย ลืมสนิท ท้องฟ้าอันอึมครึมของมาเก๊าก็เลยโปรยน้ำฝนต้อนรับเราเป็นอย่างดี พร้อมลมเย็นๆ ก็เลยต้องแวะเข้าห้องน้ำให้คุณเจ๊เปลี่ยนเสื้อที่อุ่นขึ้นกันก่อน และเป็นธรรมเนียม ห้องน้ำอลังการดีนัก ขอแชะระหว่างรอ 1 ภาพถ้วน (แค่เห็นความสบายของห้องน้ำก็อยากนอนแล้วอะ ตื่นตั้งแต่ตี 3 ฮ่าาา) อ้อ ที่ลืมคิดอีกเรื่องคือ ถึงเราจะพักฟรีแต่ก็ต้องมีการจ่ายค่ามัดจำนาจา ดีว่าอ่านรีวิวก่อนไปบ้างนิดหน่อย เลยไม่หน้าแตกตอนพนักงานโรงแรมบอกว่า Deposit ก็รูดบัตรคุณเจ๊ไป 3,000 MOP ซึ่งเงินส่วนนี้จะคืนให้ภายใน 2 – 4 สัปดาห์หลังเช็คเอ้าท์

จัดการเคลียร์สัมภาระกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นั่งรถฟรีของโรงแรม(เหมือนเดิม)ข้ามมายังโรงแรมวินน์ มาเก๊า (Wynn Macau) ดูความสดใสของท้องฟ้าสิ

จุดมุ่งหมายแรกในมาเก๊าของเราก็คือไปเดินเล่นย่านเซนาโด พอลงรถที่วินน์มาเก๊า ก็เดินไปถามทางพนักงานโรงแรม ตอบเป็นภาษาจีนมาเป็นชุด อาหมวย 2 คนนี่ยืนกันเอ๋อแหลกไปเลยค่ะ 555 แต่สุดท้ายเค้าก็รู้ว่าเราฟังไม่ออก ก็ใช้ภาษามือช่วยกันไป ว่าให้เดินไปลอดอุโมงค์ข้ามไปฝั่งตรงข้าม ที่นี่จะสร้างอุโมงค์ใต้ดินให้คนข้ามถนนแทนสะพานลอย ถ้าเดินคนเดียวมันก็ดูวังเวงหน่อยๆ แต่ถ้ามองภาพรวมมันก็ทำให้เมืองเค้าดูโปร่งๆ สะอาดตาดี
ไหนๆ ก็พูดเรื่องข้ามถนนแล้ว เม้าท์ซะหน่อย เรื่องการข้ามทางม้าลายของคนที่นี่ เค้ามีวินัยกันมากๆ ทุกคนจะยืนรอสัญญาณไฟตรงทางม้าลาย ถ้าสัญญาณคนข้ามยังแดงอยู่ ถึงจะไม่มีรถมาสักคัน และไม่มีแววว่าจะมีแมลงวี่แมลงวันบินผ่านไปอีกพักใหญ่ แต่ทุกคนก็หยุดรอจนไฟเขียวให้ข้ามได้ ไม่มีใครแตกแถววิ่งปรู๊ดข้ามไปก่อนสักคนเดียว ก็น่ารักดีนะ

และแล้วเราก็เดินมาถึงเซนาโด เย้!! ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ก็เลยเดินลัดเลาะมาเจอร้านเป็ด/ห่าน เจ้าดัง คิวแน่น แถวยาว แต่เคลียร์แถวเร็วชื่อ ชางคองเก(Chan Kuong Kei Casa De Pasto)

ยืนรอกันสักพักก็ได้เข้ามาในร้าน ค่อนข้างแออัดพอสมควร เราได้นั่งโต๊ะกลมเล็กๆ แต่ไม่ได้มีแค่เรา เพราะสักพักก็มีชายหนุ่ม(รุ่นใหญ่) 2 คนมาร่วมโต๊ะด้วย แต่ก็โอเค ที่มันน้อยเข้าใจได้ แบ่งๆ กันนั่งไปจ้า

ในส่วนของเมนูนั้น ก็สั่งด้วยการจิ้มไปที่ตัวเมนูเลยกันเหนียว ในแผ่นเมนูมีราคาบอกมาพร้อม พอสั่งไปแล้วก็เหลือแค่นั่งลุ้นกันว่า ที่สั่งไปใช่อันที่เราจะกินหรือเปล่า เท่านั้นเอ๊ง

ระหว่างรอก็แอบถ่ายของชาวบ้าน น่ากินอะ

พ่อครัวก็สับเป็ด สับห่าน สับหมูกันไม่ได้วางมือเลยทีเดียว

สักพักก็มีน้ำควันกรุ่นๆ มาเสริฟ เกือบไปแล้ว เกือบสร้างความขายหน้าถึงมาเก๊า เดินมาเหนื่อยๆ กำลังกระหายพอดี นึกว่าที่ร้านเสริฟน้ำชาร้อนๆ กำลังจะหยิบดื่มให้คล่องคอ ทันใดนั้นเอง คุณลุงที่นั่งร่วมโต๊ะกับเราก็เอาช้อน ตะเกียบ จุ่มลงไป หมับบบบ เลยถึงบางอ้อว่า อ๋อมันเป็นน้ำล้างช้อน แหม่…อีกนิดเดียว เดชะบุญ !!

ในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึง เมนูที่สั่งไปมาเสริฟแล้วจ้า สั่งหมูกรอบได้หมูกรอบ สำเนาถูกต้อง มาแบบชิ้นใหญ่คำโต และข้าวเยอะมาก ด้วยความหิวกินไปอย่างรวดเร็ว ทว่ามันเยอะมาก กินยังไงก็ไม่หมด และเมื่อความอิ่มมาเยือนเลยเริ่มสัมผัสได้ว่า เออ…หมูกรอบมันเค็มมากเลยนะ เหมือนนอนอาบในน้ำเกลือมา 2 วัน ใยข้ากินไปได้ขนาดนี้ ตอนกินไม่รู้สึก มันคงหิวมาก 555

ส่วนของคุณเจ๊แกเลือกสั่งเป็น ก๋วยเตี๋ยวเป็ด ตอนแรกก็เกือบจะกล่องข้าวน้อยฆ่าแม่ซะแล้ว นี่เห็นก็ทักก่อนเลยว่า จะอิ่มเหรอ ถ้วยมันมาแบบดูไซส์มินิ แต่ขอโทษค่ะ ซ่อนรูปมาก เป็ดก็ชิ้นใหญ่ ให้มาทั้งกระดูก ส่วนเส้นบะหมี่นั้น กินวันนี้อิ่มได้ถึงพรุ่งนี้เลยจ้า เยอะมาก สรุปมื้อนี้ว่าจะเบาๆ กลายเป็นอิ่มแทบกลิ้งออกจากร้านกันทั้ง 2 คน บวมคูณสองตั้งแต่มื้อแรกเลยทีเดียว

สรุปค่าเสียหายมื้อนี้ อยู่ที่คนละ 38 MOP (152 บาท) ส่วนตัวว่ามันคุ้มมาก เพราะเยอะมากจริงๆ กินจานเดียวอิ่ม เงินค่ากินในกระเป๋าสบายไปอีกพักนึงล่ะ อ้อ พนักงานไม่พูดภาษาอังกฤษกับคุณนะ ก็จิ้มๆ เอา อยากได้อะไร คุยคนละภาษาแต่ก็เข้าใจ กินเสร็จแล้วก็เดินมาจ่ายตังค์ที่หน้าร้าน เวลาเสริฟเค้าจะมีกระดาษโน๊ตมาให้เราแผ่นนึง เอาใบนี้ไปยื่นได้เลย

ก่อนจะไปไหนต่อไป ภาระกิจแรกที่เราทำหลังกินอิ่มก็คือ “ซื้อร่ม” ฝนตกไม่แคร์พี่เลยน้อง ตกๆ หยุดๆ ปรอยๆ เลยได้มาเสียตังค์ซื้อร่มอันบอบบางกันที่นี่ ในราคา 43 MOP (172 บาท) แพงกว่าข้าวข้าอีก ฮือออ // ก่อนมาแม่ทัก เอาเสื้อกันฝนมั้ย ตอบอย่างมั่นใจ ไม่เอาแม่ ร่มในกระเป๋าก็เพิ่งหยิบออกก่อนจะออกจากบ้านมานั่นแหละ ดวงจะได้ร่มใหม่อะนะ ฮ่าาา

อาหารเพียบ ส่วนใหญ่เป็นพวกแนวโอเด้ง ลูกชิ้นไม้ๆ คนก็ยืนกินกันเอร็ดอร่อย ใจเราก็อยากร่วมแจมแต่กระเพาะตอนนั้นคือไม่ไหวแล้วจริงๆ แน่นมาก แต่ก็มานึกได้ว่า อ้าว เราลืมกินน้ำ อิชั้นเลยมาลงเอยที่ร้านชานม ส่วนคุณเจ๊มาจบที่น้ำส้มคั้นสด (ส่วนเรื่องรสชาตินั้น ตามไปดูรีวิวตอนที่แล้วได้เลยจ้ะ)

ชานมไข่มุก ร้าน COME BUY ราคา 20 MOP (80 บาท)

น้ำส้มคั้นสดร้านข้างๆ ราคา 28 MOP (114 บาท)


เดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก เข้าไปนั่งในโบสถ์ได้ แต่ห้ามเอาอาหารและเครื่องดื่มเข้าไป และงดใช้เสียงนะคะ จะมีเจ้าหน้าที่คอยคุมอยู่

ย่านนี้ก็จะมีนักท่องเที่ยวหนาแน่น ถึงฝนจะตกเป็นระยะก็ไม่ได้ทำให้ความคึกคักลดน้อยลงเลย

นอกจากเดินเล่น ถ่ายรูป หาอะไรกินแล้ว อีกหนึ่งไฮไลท์ในย่านนี้ก็คือการช้อปปิ้ง จะมีสินค้าแบรนด์เนม กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง เสื้อผ้า ให้เลือกช้อปเยอะมาก โดยเฉพาะร้านเครื่องสำอางคนแน่นมาก แข่งกันจัดโปรน่าดู ช่างเย้ายวนเหลือเกิน ถ้าไป 2 คนก็ให้คนนึงไปช้อป อีกคนยืนต่อแถวรอจ่ายตังค์ไว้ก่อนนะคะ แถวยาวอย่างกับแจกฟรีเลยทีเดียว

มาถึงมาเก๊า ก็ต้องสายบุญนิดนึง วัดวาเยอะพอสมควร เดินๆ ไปก็เจอศาลเจ้า เข้าไปไหว้ขอพรเป็นสิริมงคลสักหน่อย

ไหว้เสร็จก็เดินลัดเลาะฝ่าฝูงชนมายังสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล Ruins of St. Paul’s สัญลักษณ์ที่บอกว่าคุณมาถึงมาเก๊าแล้ว หากมองลงไปด้านล่าง (ฝั่งขวา) จะเห็นฝูงชนหนาแน่นมาก และย่านนี้คงจะเป็นที่ชื่นชอบของสายทุเรียนเลิฟเวอร์นักแล ไอติมทุเรียน ผลิตภัณฑ์จากทุเรียน สารพัดสิ่งอัน กลิ่นโชยมาตลอดทาง และไม่ใช่กลิ่นทุเรียนปลอมๆ ด้วย ทุเรี๊ยน…ทุเรียน ขนาดฝรั่งถือติมทุเรียนโซ้ยมาเดินขนาบข้าง นี่ถึงขั้นต้องหันไปมองหาต้นตอของกลิ่น ถ้าใครชอบทุเรียนจุดนี้ก็เป็นสวรรค์ของคุณแล้วค่ะ แต่ถ้าใครแพ้กลิ่นทุเรียนแล้วไซร้ แนะนำให้พกหน้ากากปิดจมูกมาด้วยค่ะ มันรุนแรง…รุนแรงมากจริงๆ

ด้านหลังซากประตูโบสถ์ ก็มีศาลเจ้าอยู่ มาถึงแล้วก็อย่าลืมแวะไปไหว้ขอพรนะคะ

เดินกันหนักไปหน่อยเลยต้องสอยรองเท้ากันมาคนละคู่ ราคาไม่แน่ใจแต่คิดเป็นเงินไทยตก 9 ร้อยกว่าบาท ก็โอนะ เดินๆ มาเจอของถูกอดใจไงไหวล่ะเน๊อะ

เสร็จภารกิจครึ่งแรกจากย่าน SENADO เป้าหมายต่อไปของเราคือสตรีทฟู้ดย่านไทปา (TAIPA VILLAGE) การเดินทางของเราคือ รถเมล์ เดินหาป้ายรถเมล์อยู่แป๊บนึงก็เจอ เราต้องนั่งรถที่จะไปลง RUA DO CUNHA ระหว่างเดินมาดูว่าต้องนั่งรถสายอะไร ก็มีหนุ่มตี๋ที่ท่าทางเหมือนจะเป็นเจ้าหน้าที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือ บอกว่าต้องนั่งรถสายไหน เข้าแถวตรงไหน ไอ้เราที่ตอนแรกจะดูป้ายกันเองเลยยังไม่ทันได้เริ่มทำอะไร ก็เดินตามไปต่อแถวตามที่ตี๋บอกมา ไม่กี่อึดใจรถสายที่ตี๋บอกก็มาจอดเทียบท่า เราก็เตรียมเงินพร้อม ขึ้นรถ หยอดตู้ เข้าไปยืนอัดกันเป็นปลากระป๋อง แหม่ รถเมล์ที่นี่แน่นไม่แพ้บางกอกบ้านเราเลย การขึ้นการลงก็เร้าใจดีจริงๆ พอถึงป้ายก็จะมีอาซิ่ม อาม่า อาตี๋ อาแปะ อาเฮีย ผลักบ้าง ดันบ้าง เราก็จะไหลๆ เซๆ ไปตามทาง พร้อมเสียงโหวกเหวกโวยวายที่เราก็ฟังไม่ออก น่าจะประมาณ “หลบหน่อยๆ” “อั๊วลงด้วย” “เดี๋ยวๆ ให้อั๊วลงก่อน” “หลีกๆๆๆ” มั้งนะ เดาล้วนๆ
พอนั่งไปได้สักพักก็เริ่มเห็นความผิดปกติ เอ๊ะทำไมคนลง แต่ก็เอ๊ะมีคนขึ้นมาใหม่ คุณเจ๊แกเลยตัดสินใจเดินไปถามพี่คนขับแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบกระไร เลยเดินกลับมาที่เดิม อีกไม่กี่อึดใจก็มีเสียงประสานโหวกเหวกแทบจะทั้งคันรถ ดูทีเหมือนจะคุยอะไรกับเรา อาซิ่มหน้าตาใจดีก็ยิ้มให้พยายามจะพูดอะไร เราก็พยายามจะฟัง แต่ฟังไม่ออกจริงๆ ณ จุดนั้นมองซ้ายมองขวาหาคนพอพูดภาษาอังกฤษได้ Help me please หน่อย กว่าจะมีนางฟ้ามาโปรดข้างี้เครียดไปหมดเลยเจ้าค่ะ
สรุปคือ ขึ้นรถผิดสาย ที่คนอื่นๆ พยายามบอกกันก็น่าจะ รถหมดระยะแล้วลงไป๊ ไปคันอื่นไป โธ่ ตี๋เอ๊ย!! เล่นข้าซะแล้วมั้ยล่ะ รับขวัญข้าเสียตั้งแต่วันแรกเลยหรือ ขวัญหนีหมดเลยค่ะคุณพี่ เอาเป็นว่า จากเซนาโดมาไทปาให้นั่งสาย 33 นะจ๊ะ ถึงจะมีคนใจดีบอกทางแต่ก็อยากให้พยายามดูเองอีกทางด้วย ที่ป้ายจะมีบอกราคาค่ารถไว้ ขึ้นรถไม่มีทอน เตรียมให้พอดี ถ้ามีไม่พอดีก็ต้องจ่ายเกินแบบข้านี่แหละ

ถึงแล้วหนา ไทปา น้ำตาจิไหล ย่านนี้นอกจากอาหารมากมาย ผู้ชายมากมี ก็มีวิวดีๆ ให้ถ่ายรูปเพียบ ย่านนี้จะเด่นเรื่องจิตกรรมฝากผนัง ลายน่ารักๆ ตลอดทาง

มองเผินๆ เหมือนปูนเปลือยเก่าๆ แต่พอมองดีๆ อ่าาา งานศิลป์นะคร้าบ

ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว มาถึงตรงนี้ช้ากว่าที่คิดไปหน่อย เพราะติดที่ไปหลงมาก่อน สีสันแห่งชีวิต ปะทะแสงสียามค่ำคืนที่มาเก๊า

ทาร์ตไข่เจ้าดัง Lord Stow ราคาชิ้นละ 9 MOP กล่อง 6 ชิ้น ราคา 50 MOP ซื้อแล้วกินเลย กินตอนร้อนๆ ออกจากเตาใหม่ๆ อร่อย ลูกค้าก็แถวยาวเอาการ แต่ก็รอไม่นาน ยืนแป๊บๆ ก็ถึงคิว

ฝั่งตรงข้ามเจอร้านนี้ เป็น คุกกี้อัลมอนด์ การันตีความอร่อยด้วยป้าย MICHELIN 2018 ราคาก็น่าจะเอาเรื่องอยู่ ยังไม่ทันได้ซื้อ ตั้งใจจะมาซื้อวันกลับเป็นของฝาก แต่ก็ดันปิดตอนที่ไป ไม่รู้ว่าร้านปิดเร็ว หรือวันนั้นร้านไม่เปิด คนทางนี้ก็เลยอดของฝากกันไปตามๆ กัน

แล้วข้าก็มาจบที่ชาไข่มุกอีกแล้ว คราวนี้เป็นของร้าน KOI ตั้งใจสั่งชาเขียวนม แต่ดันสั่งออกมาเป็นแก้วนี้ซะได้ ฮ่าาา ค่าเสียหาย 17 MOP (68 บาท)

อ้าว ร้านไทยก็มานะออเจ้า เจ้าของเป็นคนเชียงรายชัวร์

เจอร้านกาแฟเก๋ๆ เสียดายมามืดแล้ว กินตอนนี้คงตาค้างถึงเช้าพรุ่งนี้เป็นแน่แท้ เลยได้แต่เดินไปเก็บภาพเล็กๆ น้อยๆ

นี่ก็ถึงควรแก่เวลา ฟ้ามืดมากแล้ว ควรกลับที่พักกันได้แล้วหนา

และเพื่อไม่ทิ้งความเป็นข้า ไปอยู่ที่ไหนก็ต้องหลงทางให้เป็นสีสันและชีวิตชีวากันเสียหน่อย นี่ก็เดินกันมืดแปดด้าน เปิด GPS ก็เหมือนจะให้พวกข้าเดินลงไปในน้ำยังไงไม่รู้ พยายามจะถามผู้คนแถวนั้น อาการคนที่นั่นก็เหมือนชาวเราเวลาฝรั่งคีจักถามทางนั่นแหละ นี่เอาแค่ขอร้องให้ชี้ทางให้หน่อยว่าจุดหมายของข้าคือตึกไหน หนุ่มตี๋หน้าตาดีตอบกลับมาว่า “Chinese, only Chinese” คือตี๋จะบอกว่า พูดภาษาจีนเท่านั้น ไม่รู้ อย่าถามตรู ตรูจะไปแล้ว จากนี้ไปข้าสัญญา หากมีต่างชาติหลงทาง ถึงจะไม่รู้ทาง ภาษาไม่แข็งแรงข้าก็จักพยายามตอบ ข้าซึ้งแล้ว!!

พยายามถามไถ่ ชี้โบ้ชี้เบ้กันไปมา ก็เจอทางเดินไปถึงป้ายรถเมล์แล้ว แต่จะไปยังไง สายอะไรต่อนั้น ข้าเครียดเหลือเกินค่ะคุณพี่ มองซ้ายมองขวาจะถามคนแถวนั้น ก็ดูท่าจะเป็นนักท่องเที่ยวเช่นกัน และคงมิมีผู้ใดอยากตอบเป็นภาษาอังกฤษ หรือคุยกับคนต่างภาษาเยี่ยงข้า

ข้าทั้งสองเลยตัดสินใจเดินเข้าไปถามใน VENETIAN ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า และแล้วเสียงสวรรค์ก็บังเกิด ขึ้นรถ COTAI CONNECTION ไปได้เลย รถเวียนไปส่งทุกโรงแรมย่านนี้ (ที่สำคัญฟรี) ข้าอยากจะกรีดร้องยิ่งนัก เดินหาหางแถวที่ไป COTAI CONECTION แล้วกระโดดขึ้นรถโลด

แม้จะอยู่ไม่ไกลกัน แต่ WYNN PALACE COTAI นี่เป็นโรงแรมเกือบสุดท้ายที่จะถึงเลยหนา ก็นั่งหลับไปสักระยะนะจ๊ะ เราต้องไปทัวร์โรงแรมอื่นให้ครบก่อน เปิดหูเปิดตายามขาอ่อนล้าหนักมาก เหตุใดข้าถึงต้องหักโหมกันถึงเพียงนี้

เย้ ในที่สุดก็เห็น WYNN PALACE แล้ว แม้จะผ่านหน้าโรงแรมเราก่อน แต่รถจะวนมาจอด MGM แล้วค่อยวกกลับไปส่งที่วินพาเลซ ณ จุดนี้ก็เลยชักภาพมุมกว้างหน้าโรงแรมที่กำลังมีการแสดงน้ำพุซะเลย เพราะเวลายืนถ่ายหน้าโรงแรมจริงๆ จะไม่ได้เห็นครบแบบนี้ อุ่นใจเหลือเกินเจ้าค่ะ

ออเจ้าคงคิดว่าเมื่อข้าคลำทางมาถึงโรงแรมได้สำเร็จแล้ว ข้าคงถึงควรแก่เวลาที่จะได้นอนหลับพักผ่อนเสียทีแล้วสินะ หาใช่ไม่เจ้าค่ะ พวกข้าต้องวิ่งกระหืดกระหอบหาห้องอาหารที่ชื่อ MIZUMI เนื่องจากพวกข้าคอนเฟิร์มมื้อค่ำที่นี่ไว้ ห้องอาหารเปิดบริการ 19.00 – 22.30 น. โดยประมาณ เรามาถึงนี่ก็ราวๆ 2 ทุ่มครึ่ง คงกินกันสักชั่วโมงก็เสร็จแล้วล่ะ ไม่กินเยอะหรอก

เมื่อก้าวเท้าเข้ามา การต้อนรับอย่างอบอุ่นกรูเข้ามา พร้อมเมนูที่ทำเอาข้าตกตะลึง นี่จัดชุดใหญ่ให้ข้าถึง 9 คอร์ส เลยเทียวรึ โอ้ว ณ เพลานี้

จัดเต็มขนาดนี้ข้าเลยต้องงัดกล้อง งัดเลนส์ออกมาอีกสักรอบ แม้สภาพร่างข้าจะแลดูแหลกเหลวไปแล้ว คุณพี่เจ้าขา ทำบุญส่งลิปสีมาให้ข้าที บางทีข้าก็หลอนตัวเอง เจอมาครบทั้งแดด ลม ฝน หลงทาง เย้

ส่วนแม่หญิงคนนี้นางยังโอเคอยู่ สว่างได้สว่างไปเจ้าค่ะ

ก่อนเมนูแรกจะมาเสริฟก็ต้องมีพรีเซ้นท์ความพิเศษและวัตถุดิบที่ใช้กันก่อน

จานแรกในธีม Sping Kaiseki Menu ได้แก่ Seasonal Introduction เป็น ปลาหมึก Simmered Baby Octopus จาก Okayama กับ White Asparagus จาก Hokkaido
Rapaura Springs Reserve Sauvignon Blanc 2016

เครื่องดื่มของข้าเป็น Sparkling Water มันก็จะซ่าๆ หน่อย
Sparkling Water

บรรยากาศในห้องอาหารญี่ปุน MIZUMI โรงแรม WYNN PALACE COTAI

Appetizer เป็นซูชิต้นตำรับแท้จากญี่ปุ่น Taste of Authentic Sushi with the Seasonality มี 3 คำ กินไล่จากซ้ายมาเลยจ้า
Matsu-No-Tsukasa Raku Junmai Ginjo

ไฮไลท์ชิ้นกลาง เชฟบอกว่าให้เปิดใบไม้ออกมา มันจะเป็นฟีลเหมือนฤดูใบไม้ผลิ

วัตถุดิบเมนูต่อไปมาโชว์ก่อนจ้า จัดหนักจัดเต็มกับพืชผักท้องถิ่น อิมพอร์ตจากเจแปน

และเมนูที่ออกก็คือ ซุป อันประกอบด้วยเส้น ผักตามฤดูกาลของญี่ปุ่น จากเมืองชิซุโอกะ และหอยตลับ จากเมืองโทยามะ เจ้าค่ะ
Aroma of the “ichiban-dashi” first stock from freshly shaved bonito flakes Dried bonito flakes จาก Shizuoka และ Orient clam จาก Toyama

Orient clam จาก Toyama

ตามติดมาด้วย Assorted Sashimi ซาชิมิตามฤดูกาล สดยกทะเลญี่ปุ่นมาแบบชุดใหญ่จัดเต็มเลยเจ้าค่ะ ที่เห็นแต่ละเมนูนี่คือคนละ 1 เซ็ตนะเจ้าคะ หาได้ให้แชร์กันกินไม่ มันก็จะหนักหน่วงหน่อยๆ
Flavor of the Ocean Seasonal Seafood Flown from the Coasts of Japan
Isojiman Furuke Junmai Daiginjo

ให้เริ่มชิมจากชิ้นนี้ไปนะเจ้าคะ เชฟบอกมา

กุ้งเนื้อหว๊าน หวาน แทบละลายในปากเลยทีเดียว

แล้วค่อยมาจบที่ ไข่หอยเม่นชูกำลัง ถามว่าอันนี้ควรกินก่อน หรือหลังสุด (เพราะมันเป็นเซ็นเตอร์วนมาไม่บรรจบ) เชฟขำกันใหญ่ คงจะอยากบอกดั๊นว่า อยากกินตอนไหนก็กินไปเถอะแม่คุณ แต่กรุณาซดให้หมดรวดเดียวเพื่อความปั๋งก็พอ คึกแน่คืนนี้ 555+

Agemono เมนูนี้ทำเอาตกใจเบาๆ นะ เพราะของโต๊ะข้างๆ มาเสริฟก่อน แล้วเค้าเอาล็อบสเตอร์ตัวเป็นๆ มาโชว์ด้วย OMG!! หลบตากันแทบไม่ทัน ถ้าเห็นจะกล้ากินมั้ย ฮาร์ดคอร์ ดีนะพอถึงคิวเรา ล็อบสเตอร์คงหลับไปแล้ว หรือไม่ก็โดนชำแหละเรียบร้อยแล้ว เลยไม่ต้องสบตากันให้ขนลุกก่อน
Lusurious – Spiny Lobster จาก Ise Island [ Meyer-Nakel Riesling 2015 ]
โปรดส่งอีโนให้ข้าเถิดเจ้าค่ะ โปรดปราณีข้า พิเศษทุกเมนู พรีเซ้นท์ความพิเศษก่อนทุกจาน ข้านี้มิกล้ากินทิ้งกินขว้าง แต่ข้าจุกแน่นมากเจ้าค่ะคุณพี่ มิคิดว่าจะรับขวัญมื้อแรก(ในโรงแรม)ให้ข้าหนักถึงเพียงนี้ ข้าพกมากี่กระเพาะกัน น้ำตาแห่งความเสียดายเมื่อกินไม่หมดเอ่อมา
Gosset Grande Reserve Brut NV

ข้าพเจ้าขอตั้งชื่อเมนูภาษาไทยว่า ชาบู ชาบู โครตหอย เจ้าค่ะ
Nimono – Simmering
Seasonal Shellfish ‘Shabu-Shabu’ Heart Clam จาก Shizuoka, Pen Shell and  Surf Clam จาก Hokkaido

เวลากินก็ให้เอาหอยสดๆ เหล่านี้ ไปจุ่มในหม้อชาบู นับ 1 2 3 4 แล้วก็กิน อยากให้เห็นท่าประกอบตอนเชฟบอกหนักมาก แซวกันเล่นๆ ว่าจุ่มถึง 5 ได้มั้ย เอาจริงๆ ก็จุ่มเลย 4 นะ กลัวมันไม่สุก 555

อย่าลืมผสมเจ้านี่ไปในน้ำจิ้มด้วย

วัตถุดิบเด่นเมนูถัดไป แบมบู อบหอมกรุ่น จากเกียวโต

ออกมาเป็นเมนูที่มีชื่อว่า Charcoal ‘Binchotan’ Grill เวลาเสริฟเชฟจะตักแบมบูมาใส่จานให้ตอนเราจะทาน จะได้คงความหอม ความกรุ่นเอาไว้ รสชาติมันหอมหวานเหมือนข้าวโพดเลย ตัวปลาอร่อยมาก กริลล์มาจนหนังกรอบ ละมุน
Vigorous Aroma of Charcoal Kinki Fish จาก ฮอกไกโด และ Bamboo Shoot จาก เกียวโต
Hakurakusei Tokubetsu Junmai

Oh My God!! เจอทั้งซูชิ ซาชิมิ ชาบู ปลาย่าง แล้วมีข้าวต้มอีกค่ะคู๊ณณณ เมนูเบาๆ ชิมิคะ ช่ ว ย ข้ า ด้ ว ย ! !
Shime – Fianle : Spring Snapper Sashimi on Japanese Steamed rice served with Sakura Tea and Assorted Pickles จากเมือง Gyokuro
Shime – Fianle : Spring Snapper Sashimi on Japanese Steamed rice served with Sakura Tea and Assorted Pickles

ใส่เจ้านี้ไปด้วยเพื่อความหอมค่ะ และเนื่องจากข้างบนเป็นปลาดิบก็เลยมีวาซาบิมาให้ด้วย


ของหวานแล้วจ้า Japanese Sweets ใช้วัตถุดิบจากโอกินาว่า
Mizumi Purin / Black Sugar – Okinawa

มันจะคล้ายๆ สังขยาไข่บ้านเราแต่มีมะพร้าว หรือกะทิใส่มาด้วย รสชาติออกหวานมัน

สิริรวมเวลาในการกินมื้อนี้ เลยเถิดไปมาก ลากยาวตั้งแต่ 2 ทุ่มครึ่งยัน 5 ทุ่มกว่าเลยทีเดียวเจ้าค่ะ แต่…ลืมอะไรไปหรือเปล่า เรายังไม่ได้เช็คอินเข้าห้องเลย ต้องรีบแล้วล่ะ ไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ แล้วรีบขึ้นห้องก่อนหนา พนักงานเค้าเลิกกะกันจะหมดแว้ว
ทางเดินไปห้องพัก


ก่อนไปทางโรงแรมบอกว่าอยากได้อะไรให้บอก เค้าจะเตรียมไว้รับรอง เราก็ไม่ขออะไรมาก ขอแค่ห้อง 2 เตียง กับโซนที่ไม่สูบบุหรี่ เพราะโรงแรมย่านนี้มีคาสิโน่ กลิ่นบุหรี่จะรุนแรงมาก เค้าก็จัดให้ตามคำขอ น่ารักมาก ห้องสวยมาก กว้างขวาง

มีช็อกโกแลตทรัฟเฟิ้ลวางต้อนรับด้วย นี่คิดว่าเก็บไว้ก่อน เดี๋ยวกินพรุ่งนี้ ปรากฏวันรุ่งขึ้นเค้าเก็บไปเรียบร้อย แล้วเอามาการองมาวางให้แทน อยากบอกว่า ไม่เป็นไรค้างคืนข้าก็กินได้ โถ…เสียดาย

ห้องน้ำที่กว้างกว่าห้องนอนข้าซะอีก มีทุกสิ่งครบครัน โต๊ะเครื่องแป้งกว้างใหญ่อยู่ตรงกลาง ห้องน้ำฝั่งซ้าย อ่างอาบน้ำ และห้องอาบน้ำด้านขวา ที่กระจกมีทีวี ดูหนังฟังเพลงระหว่างอาบน้ำ แปรงฟันได้ อะไรจะต้องสบายขนาดนี้ (ส่วนเงาดำๆ นั่นข้าเอง ไม่ต้องตกใจ)

รูปนี้คือถ่ายอีกวัน ข้าวของวางไว้ แม่บ้านก็จัดระเบียบให้ เอาผ้ามารอง จัดเรียงให้เรียบร้อย ข้าพเจ้านี่เขินเลย ฮ่าาา

เรียกว่ามาแต่ตัวก็ได้ อุปกรณ์อาบน้ำ สระผมครบครัน โลชั่น แปรงสีฟัน ยาสีฟัน หวีสีทองอร่าม ที่โกนหนวด ครีมโกนหนวด ไหมขัดฟัน น้ำยาบ้วนปาก ฯลฯ พร้อม เติมใหม่ทุกวันอีกด้วย

เสื้อคลุมก็มี ไม่ต้องขอเพิ่ม

เรียกว่าสบายยันทีนเลยจ้า

เรื่องปลั๊กไม่ต้องห่วง ปลั๊กมากมาย ผู้ชายมากมี ห้องน้ำก็เสียบได้เสียบได้ทุกที อะราวด์ เดอะ รูม

มินิบาร์ล่อตาล่อใจ กินได้ จ่ายตังค์ด้วย

ตู้เย็นก็อัดแน่นเหลือเกิน

นี่ก็ถึงควรแก่เวลา เที่ยงคืน ตีหนึ่งเข้าไปแล้ว กำลังจะล้มตัวลงนอนท่ามกลางหมอนรายล้อม 4 ใบ ก็มีผู้ชายมาหาถึงห้อง ข้าพเจ้าก็ไปเปิดประตูให้แบบงงๆ หน้าง่วงๆ เชื้อเชิญตี๋เด็กเข้ามาในห้องอย่างไร้สตินิดนึง 555 ตี๋หอบข้าวของมาบำรุงบำเรอให้ข้าถึงห้อง นี่คือทริปลวงมาขุนให้อ้วนแล้วเชือดทีเดียวเลยปะเนี่ย กินไม่ได้หยุด กินจนต้องร้องขอชีวิต 555

กล่องแรกเป็นผลไม้ของมาเก๊า น่าจะแนวๆ แก้วมังกร (แอบเห็นราคาตามร้านข้างนอกตกลูกละ 50-55 MOP) มีชุดจาน ช้อน มีด ส้อมมาให้ด้วย (เพิ่งรู้ทีหลังว่าเค้าให้เอากลับบ้านได้ ไม่ได้เอามา เสียดาย ต่อมความงกเราต้องทำงานนิดนึง 555)

อันนี้เป็นช็อกโกแลต ของรับรองจากงาน Asia’s 50 Best Restaurants 2018 

พอเดินมาส่งตี๋ และเซย์ Good Night ด้วยหน้าที่ล่องลอยไปพร้อมกับสติ ตี๋เลยแนะนำว่า กดปุ่ม Do Not Disturb สิครับ เออ…เลยสังเกตว่าไฮโซยันประตูเลยทีเดียว ไฟ ม่าน ความต้องการต่างๆ กดได้ที่นี่ กดได้ที่จอหัวเตียง และข้างผนัง สำหรับวันแรกในมาเก๊าอันหนักหน่วงนี้ เห็นนี้ต้องราตรีสวัสดิ์ก่อนแล้วค่ะทุกคน แล้วเดี๋ยวจะมาเล่าทริปวันที่ 2 – 4 ในรีวิวถัดไปนะคะ อันนี้ก็ยาวมาก อยากถามตัวเองว่าทำไมต้องหักโหมถึงเพียงนี้ ทำไปได้ แล้วพบกันใหม่ค่ะ รักนะ บาย